“น้ำหอมผู้ชาย” หนึ่งในไอเทมที่ช่วยให้หนุ่ม ๆ มั่นใจกับกลิ่นกายของตัวเองมากขึ้นและช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีมากกว่าที่เคย ทำให้คุณมีเสน่ห์น่าหลงใหลท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัว ซึ่งน้ำหอมสำหรับผู้ชายจะมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากน้ำหอมสำหรับผู้หญิงตรงบุคลิกของกลิ่นที่ดูสะอาด, สุขุม หรือกระปรี้กระเปร่า นอกจากการเลือกซื้อตามความชอบแล้วหนุ่ม ๆ ต้องดูจากอะไรอีกบ้าง เมื่อกลิ่นมีมากมายให้เลือก แถมแต่ละแบรนด์มักจะมีเอกลักษณ์ของโทนกลิ่นที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เอง อาจทำให้หนุ่ม ๆ มือใหม่หัดซื้อ หรือสาว ๆ ที่อยากซื้อน้ำหอมผู้ชายเป็นของขวัญให้คนใกล้ตัวงงจนเลือกกันไม่ถูก
วันนี้ ทีมงานเราเลยถือโอกาสนำเอา "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ำหอม" ที่ควรศึกษาก่อนเลือกซื้อมาฝากกัน รวมถึง “วิธีการเลือกน้ำหอมผู้ชาย” และ “10 อันดับ สินค้ายอดฮิตขายดี” ที่ผ่านการเปรียบเทียบทั้งราคา, คุณสมบัติและรีวิว ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดช้อยส์เพื่อเลือกน้ำหอมผู้ชายที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแต่ละหัวข้อจะมีเนื้อหาอย่างไรบ้าง ตามอ่านกันเลยค่ะ !
ก่อนที่จะแนะนำเรื่องวิธีการเลือกน้ำหอม เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันเรามาทบทวนความรู้เกี่ยวกับน้ำหอมกันก่อนดีกว่าว่า น้ำหอมมีชนิด และคุณลักษณะสำคัญอะไรบ้าง
น้ำหอมนั้นไม่ว่าน้ำหอมผู้ชายหรือน้ำหอมผู้หญิงจะมีกลิ่นที่หลากหลายในตัวมันเอง ซึ่งถ้าเทียบกับดนตรีก็เปรียบเสมือนโน้ตเพลงที่ปรุงแต่งให้เกิดคาแรคเตอร์ของน้ำหอมตัวนั้น ๆ ในศาสตร์แห่งน้ำหอมจึงเรียกกลิ่นของน้ำหอมว่า โน้ต (Notes) โดยโน้ตก็จะมีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน เรียกว่า Fragrance Family ถ้าเราศึกษาเกี่ยวกับโน้ตและกลุ่มของกลิ่นน้ำหอม ก็จะทำให้เราค้นหากลิ่นที่เหมาะกับตัวเอง หรือกลิ่นที่เราชอบได้ง่ายขึ้นค่ะ
กลิ่นที่สดชื่นหรือ Fresh Notes ก็มีลักษณะตรงตามชื่อเลยคือ ให้ความรู้สึกเฟรช สดใส เย็นสบาย ได้แก่ กลิ่นของพืชตระกูล Citrus เช่น มะนาว, เกรปฟรุต เป็นต้น โดยเป็นกลิ่นที่เหมาะกับหนุ่ม ๆ วัยรุ่น 10 กว่า ๆ จนไปถึง 24 -25 ปี สามารถใช้เวลาต้องการคลายความตื่นเต้นหรือเพิ่มสมาธิในการโฟกัสก็ได้
เป็นกลุ่มดั้งเดิมอาจเรียกว่าฟูแจร์ (Fougère) ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ใบเฟิร์น หมายถึง กลิ่นที่มีความเป็นสมุนไพร กลิ่นจากธรรมชาติให้ความรู้สึกถึงสีเขียวของใบไม้กับทุ่งหญ้า นอกจากจะให้ความรู้สึกที่สะอาดสดชื่นแล้ว ยังให้ความรู้สึกสุขุม มีพลังแฝงไว้ด้วย เป็นกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ใช้ง่ายเหมาะกับหนุ่ม ๆ ทุกวัยค่ะ
เป็นกลิ่นหอมจากดอกไม้ หรือทำให้นึกถึงดอกไม้ ที่หลายคนคิดว่าน่าจะเหมาะกับผู้หญิงเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนากลิ่นให้เหมาะกับคุณผู้ชายด้วย ให้บรรยากาศของความสง่างาม นุ่มนวล โดยกลิ่นที่คุ้นเคยกันบ่อย ๆ ก็จะมีกลิ่นกุหลาบ กลิ่นมะลิ หากเป็นกลิ่นที่มีความเป็น Woody ผสมไปด้วยก็จะเป็นน้ำหอมที่เป็น Gender-Less ใช้ได้ทั้งหญิงทั้งชายเลยค่ะ
เป็นกลุ่มของกลิ่นที่ให้ความรู้สึกของป่าและต้นไม้ กลิ่นหลัก ๆ จะมาจากต้นไม้จำพวกไม้จันทน์ (Sandalwood), ไม้จำพวกยมหอมหรือซีดาร์ (Cedar Wood), ไม้ฮิโนกิ ถือว่าเป็นกลิ่นยอดนิยมสำหรับน้ำหอมผู้ชายโดยเป็นกลิ่นที่มีคาแรคเตอร์ของความนิ่ง ความสงบ ลึกลับ
กลุ่มของกลิ่นที่ทำให้รู้สึกถึงพืชพันธุ์และบรรยากาศของโลกตะวันออก ซึ่งส่วนผสมก็มักจะเป็นเครื่องเทศของทางเอเชียเรา, อำพัน, พิมเสน กลิ่นหอมที่มีความเท่บวกกับความอบอุ่นเหมาะกับฤดูที่หนาวเย็น
ยังมีเรื่องน่ารู้อีกมากมายที่จะทำให้คุณรู้สึกสนุกกับการเลือกซื้อและการใช้น้ำหอมวันนี้เรามาดูเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นน้ำหอม" และ "ความเข้มข้นของน้ำหอม" กันค่ะ ซึ่งเนื้อหานี้เกี่ยวข้องกับทั้งน้ำหอมผู้ชายและน้ำหอมผู้หญิงนะคะ
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าน้ำหอมขวดหนึ่งจะมีกลิ่น 3 ระดับ ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หลังจากฉีดซึ่งเรียกว่า
- Top Notes/Head Notes:กลิ่นแรกที่รับรู้ได้ทันทีหลังจากฉีด กลิ่นจะคงอยู่ได้ไม่เกิน 30นาที
- Middle Notes/Heart Notes:กลิ่นหอมหลัก หลังฉีด 30 นาที กลิ่นจะอยู่ 2-4 ชั่วโมง
- Base Notes/Basic Note:กลิ่นสุดท้ายของน้ำหอม ได้กลิ่นหลังจาก 2-4 ชั่วโมงไปแล้ว
อย่างเวลาเราไปลองน้ำหอมกลิ่นแรกที่เราได้กลิ่น คือ Top Note ซึ่งจะระเหยไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นกลิ่นที่จะตามมา คือ Middle Note เป็นกลิ่นหลักที่แสดงตัวตนของน้ำหอมสูตรนั้น และสุดท้าย คือ Base Note เป็นกลิ่นสุดท้ายที่คงเหลือซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกลิ่นตัวของผู้ใช้
เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมชื่อน้ำหอมเหมือนกัน ปริมาณเท่ากันแต่ราคาไม่เท่ากัน จริง ๆ แล้วในการปรุงน้ำหอมจะมีส่วนประกอบหลักอยู่ 3 อย่างคือหัวน้ำหอม แอลกอฮอล์ และน้ำ โดยประเภทของน้ำหอมจะต่างกันไปตามอัตราส่วนความเข้มข้นของหัวน้ำหอม ยิ่งหัวน้ำหอมเข้มข้นก็จะยิ่งหอมติดทนและราคาก็จะสูงตามไปด้วย โดยประเภทของน้ำหอมที่เห็นบ่อย ๆ ในน้ำหอมผู้ชายไล่ตามความเข้มข้นมากไปน้อย มีดังนี้ค่ะ
Eau de Parfum (EDP)
เป็นกลิ่นที่เข้มข้นกว่า Eau de Toilette กลิ่นติดทน 5 ชั่วโมง เหมาะสำหรับเวลาต้องการให้ตัวหอมนาน ๆ
Eau de Toilette (EDT)
เป็นชนิดที่เจอบ่อยที่สุดในน้ำหอมผู้ชาย กลิ่นติดทน 3-4 ชั่วโมง หากฉีดไปตอนเช้าตอนเที่ยงกลิ่นน่าจะหายไปแล้ว แต่เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนกลิ่นระหว่างวัน
Eau de Cologne (EDC)
เป็นตัวที่เข้มข้นน้อยที่สุดใน 3 ตัวนี้ กลิ่นติดทน 1-2 ชั่วโมง ฉีดเปลี่ยนกลิ่นได้ตามต้องการ
มาถึงวิธีการเลือกน้ำหอมกันแล้วค่ะ จริง ๆ ก็มีจุดสำคัญในการเลือกซื้อแค่ 3 หัวข้อเท่านั้นเอง
การใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวทุกโอกาสก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าเราสามารถเลือกน้ำหอมได้ถูกโอกาส ถูกเวลา และถูกสถานที่จะยิ่งเป็นการเสริมบุคลิกให้ดูดีขึ้นไปอีก และทำให้การใช้น้ำหอมเป็นเรื่องสนุกด้วยค่ะ
กลิ่นที่แนะนำให้คนใส่น้ำหอมไปทำงานเลือกใช้คือกลิ่นที่มีความเฉียบคม น่าเชื่อถืออย่างกลิ่นกลุ่ม Herbal Notes, Woody Notes ที่มีความนิ่ง ให้คาแรคเตอร์ความเป็นมืออาชีพ เป็นการเป็นงานและเป็นกลิ่นที่คนหมู่มากชอบ ส่วนกลิ่นที่ไม่อยากแนะนำให้ใช้คือกลิ่นกลุ่ม Fresh Notes ที่ดูสดใสก็จริงแต่จะดูไม่จริงจังเท่าไหร่ค่ะ
สำหรับน้ำหอมที่ควรฉีดไปออกเดทควรมีความเป็นตัวตนของคุณมากที่สุด แต่ไม่ลืมที่จะซ่อนความหวานและเซ็กซี่เอาไว้เล็ก ๆ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกและเสริมให้ดูน่าค้นหามากยิ่งขึ้น ถ้าไปเดตกับแฟน หนุ่ม ๆ อาจจะเลือกกลิ่นที่เข้ากันกับกลิ่นที่แฟนเลือกก็ได้ค่ะ
ในวันสบาย ๆ อาจจะเลือกกลิ่นที่เป็นธรรมชาติ และมีความอ่อนโยนอย่างพวก Citrus กลุ่ม Fresh Notes ช่วยให้ผ่อนคลาย หรือว่าอาจจะเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นอายของทะเล ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปพักผ่อนที่รีสอร์ตขณะนอนสบาย ๆ อยู่ที่บ้าน ถ้าให้สมาชิกในบ้านใช้กลิ่นเดียวกันหรือจุดเทียนหอมเพิ่มด้วยยิ่งได้บรรยากาศมากขึ้นค่ะ
แม้บ้านเราจะมีอยู่แค่ฤดูเดียวแต่เราสามารถสร้างบรรยากาศได้ด้วยน้ำหอมค่ะ มาดูว่ากลิ่นไหนให้บรรยากาศของฤดูไหนเผื่อใครได้ใช้ตอนไปเที่ยวต่างประเทศนะคะ
<ฤดูใบไม้ผลิ:เหมาะกับกลิ่นที่สดใส>
ฤดูใบไม้ผลิที่ธรรมชาติตื่นจากความหนาว มีสีสันสดใสเพิ่มมากขึ้น จึงเหมาะที่จะใช้กลิ่นดอกไม้กลุ่ม Floral Notes หรือกลิ่น สะอาดสดชื่นแบบ Herbal Notes ค่ะ
<ฤดูร้อน:เหมาะกับกลิ่น Citrus>
กลิ่นที่ลงตัวกับอากาศร้อนที่สุด คือกลิ่นที่เบา ๆ สดชื่นแบบ Fresh Notes อันได้แก่กลิ่นผลไม้ตระกูลส้มทั้งหลาย (Citrus) ที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย หรือว่ากลิ่นที่มีความเป็นทะเลก็ไม่เลวค่ะ
<ฤดูใบไม้ร่วง:เหมาะกับกลิ่นที่มีความเป็นผู้ใหญ่>
ฤดูที่เริ่มหนาวลงเรื่อย ๆ เหมาะกับกลิ่นที่นิ่งขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอย่างเช่นกลุ่ม Woody Notes, Oriental Notes หรือจะเป็นกลิ่นประเภท Fougère, Chypre ก็ได้
<ฤดูหนาว:เหมาะกับกลิ่นที่มีความอบอุ่น เข้มข้น>
Oriental Notes หรือกลิ่นที่มีเสน่ห์ยั่วยวน เป็นกลิ่นที่น่าใช้ในฤดูที่อากาศหนาว รวมทั้งกลิ่นที่มีความเข้มข้นอย่างกลิ่น หอมหวานของผลไม้ (Gourmand Notes) กลิ่นเครื่องเทศ หรือจะใช้กลิ่นกลุ่ม Woody Notes ก็เข้า
กลิ่นน้ำหอมนั้นจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิอีกด้วย ลองเลือกกลิ่นน้ำหอมที่เหมาะกับสภาพอากาศกันนะคะ
คนแต่ละวัยก็มีกลิ่นที่เหมาะสมแตกต่างกัน การเลือกกลิ่นน้ำหอมตามวัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกถือเป็นการสื่อสารให้คนรอบข้างรู้จักเราอีกทางหนึ่งได้ด้วย อย่างหนุ่ม ๆ วัยมหาลัยอาจจะใช้กลิ่นที่ดูเฟรชหน่อย แต่ถ้าเป็นหนุ่มใหญ่วัย 40 มีหน้าที่การงานใหญ่โตแล้วก็อาจจะเหมาะกับกลิ่นที่เนี้ยบ ๆ เป็นผู้ใหญ่มากกว่าค่ะ
เห็นแล้วใช่ไหมล่ะคะ ว่าน้ำหอมมีความสำคัญต่อบุคลิกภาพมากจริง ๆ และยิ่งใช้น้ำหอมที่มีคุณภาพ ก็จะทำให้กลิ่นติดทนยาวนานยิ่งขึ้น ดังนั้นวันนี้มายเบสท์จึงมีบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำหอมแบรนด์ Hi-End สำหรับผู้ชายมาแนะนำเพื่อน ๆ เพิ่มเติมเพื่อ เพิ่มความมีเสน่ห์ในตัวคุณค่ะ
ตอนนี้ทุกคนคงจะรู้แล้วว่าควรเลือกน้ำหอมผู้ชายอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง แต่ก็ยังไม่รู้กันใช่ไหมล่ะคะว่า รุ่นไหนเด็ดรุ่นไหนดี ลำดับต่อไป เรามาอ่านข้อมูลของสินค้าที่น่าสนใจกันดีกว่า ยังไงก็อย่าลืมเลือกโดยใช้มาตรฐานของตัวเองเป็นหลักควบคู่ไปกับการอ้างอิงอันดับนะคะ
แม้ว่าจะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2013 แล้ว แต่รุ่นนี้ก็ยังติด 1 ใน Top 10 ของน้ำหอมที่อยู่ในใจของหนุ่ม ๆ โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก “อีรอส” กามเทพของกรีก กลิ่นของรุ่นนี้จึงหอมหวาน นุ่มนวลและเย้ายวน ช่วยสร้างคาแรคเตอร์สุดโรแมนติกที่แฝงไปด้วยความเซ็กซี่ เหมาะกับการฉีดไปออกเดตหรือออกงานกลางคืน
ด้านคุณสมบัติการใช้งาน หลายคนบอกว่ากลิ่นกระจายตัวได้ดีและติดทนนานมาก อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้มีส่วนผสมของวานิลลา ใครที่เหงื่อออกมากและฉีดในวันที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งอาจจะต้องมองหารุ่นอื่นแทน
อีกรุ่นที่แม้จะเปิดตัวมานานมากตั้งแต่ปี 1995 แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีหนุ่ม ๆ หลายคนติดใจอยู่ เพราะด้วย 3 กลิ่นสุดพิเศษทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ Top Note ด้วยกลิ่นมิ้นต์, ลาเวนเดอร์และมะกรูด Middle Note ด้วยกลิ่นอบเชย, ยี่หร่าและดอกส้ม ปิดท้ายด้วยกลิ่นวานิลลา, ถั่วตองก้า, ไม้จันทน์หอมและไม้ซีดาร์ ช่วยสร้างบรรยากาศสุดละมุนพร้อมซ่อนความเย้ายวน เหมาะกับการฉีดในวันออกเดตหรืองานราตรี
อีกหนึ่งข้อดีในการใช้งาน คือ ฟุ้งกระจายตัวได้ดีและติดทนนาน ที่สำคัญ ยังเป็นกลิ่นที่ทั้งสาว ๆ และชาวสีม่วงชื่นชอบด้วยค่ะ อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้ไม่เหมาะกับอากาศร้อน ฉะนั้น ขอแนะนำให้ฉีดในวันที่ต้องอยู่แต่ในห้องแอร์จะดีกว่า
น้ำหอมที่มีโทนกลิ่นหอมสดชื่นด้วยการผสมผสานระหว่างลาเวนเดอร์และพฤกษานานาพันธุ์ จึงช่วยสร้างคาแรคเตอร์ให้คุณกลายเป็นหนุ่มสะอาดสะอ้าน ขณะเดียวกันก็ยังแฝงความละมุน เสริมให้บรรยากาศดูสดชื่นและผ่อนคลาย เล่นเอาสาว ๆ หลายคนหลงใหล
ที่สำคัญ กลิ่นยังกระจายตัวพอสมควรและยังติดทนนานตั้งแต่เช้าจรดเย็นอีกด้วย เหมาะกับการฉีดไปทำงานหรือไปเที่ยวสบาย ๆ อีกหนึ่งข่าวดีสำหรับคนที่มักเหงื่อออกเยอะหรือต้องอยู่ในที่อากาศร้อน รุ่นนี้คุณสามารถใช้ได้ค่ะ แถมยังใช้ได้ดีอีกด้วย เพราะกลิ่นจะยิ่งฟุ้งกระจายเมื่อเหงื่อออก (ขึ้นอยู่กับกลิ่นตัวของแต่ละคน)
เป็นส่วนผสมของน้ำหอมผู้ชายที่มีความหลากหลายแต่ลงตัว สำหรับ SAUVAGE จาก Dior ที่เพิ่งแปลงโฉมปรับกลิ่นใหม่เมื่อ 2018 นี่เอง โดยเฉพาะสูตร EDP นี้กำลังไต่บันไดความนิยมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กลิ่นมีทั้งความเป็น Oriental Notes จากเครื่องเทศต่าง ๆ อย่างพริกไทย Sichuan, โป๊ยกั๊ก, ลูกจันทน์เทศและความสดชื่นจากมะกรูด, Vanilla
คาแรคเตอร์โดยรวมจะมีความนุ่มละมุน แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ลึกลับ ดูได้จากพรีเซนเตอร์ของสินค้า คือ Johnny Depp แล้วจะจินตนาการกลิ่นตามได้ทันที จากเสียงผูัใช้หลายคนบอกว่าเหมาะทั้งกับการใช้ช่วงกลางวันและกลางคืน สามารถใช้ในสภาพอากาศร้อนได้และกลิ่นค่อนข้างติดทนนานค่ะ
มาถึงแบรนด์ที่มีความหอมเป็นเอกลักษณ์ โดยรุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากผู้ชายที่มั่นใจ มุ่งมั่นและอยู่นอกกรอบความคิดของสังคม กลิ่นจึงหอมสดชื่นและหนักแน่น พร้อมซ่อนความเย้ายวนด้วยการผสานกลิ่นระหว่างแซนดัลวู้ดกับไม้ซีดาร์ที่ให้กลิ่นคล้ายอำพัน และถั่วตองก้า ช่วยขับให้คุณดูเป็นหนุ่มลุ่มลึก สุขุมและมีเสน่ห์น่าค้นหาแบบผู้ใหญ่ เหมาะกับทุกโอกาสและทุกฤดูกาล
หนุ่มๆที่ใช้ต่างบอกว่ากลิ่นฟุ้งในอากาศได้ดี ใช้แล้วช่วยเสริมให้กลิ่นตัวและบุคลิกดีขึ้น และที่สำคัญยังติดทนนาน นอกจากนี้สาวๆยังชื่นชอบกลิ่นนี้มากๆด้วยค่ะ
รุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลมาจาก Pantellerie เกาะแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลีที่ Armani เคยไปพักผ่อนในช่วงพักร้อนของเขา กลิ่นของรุ่นนี้จึงบ่งบอกถึงความเป็นอิสระเหมือนสายลมและสายน้ำ ด้วย Top Note จากมะกรูดแคริเบี้ยน ตามมาด้วยกลิ่นอายของทะเลผสานกับดอกมะลิได้อย่างลงตัว
และปิดท้ายด้วยกลิ่นของไม้ซีดาร์ ช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่าและผ่อนคลาย เหมาะกับฉีดไปทำงานหรือเที่ยวในวันสบาย ๆ ต้องบอกเลยว่ารุ่นนี้เป็นอีกรุ่นอมตะ เพราะกลิ่นอบอวลในอากาศได้ดีและยังติดทนนานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ยังเป็นกลิ่นที่สาว ๆ ส่วนใหญ่ชื่นชอบมากด้วยค่ะ
รุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากผู้ชายที่หลงใหลการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ดังนั้น หนุ่ม ๆ จึงมั่นใจได้ว่าเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราอย่างแน่นอน ซึ่งโทนกลิ่นหอมของรุ่นนี้จะเน้นความสดชื่นด้วยอิตาเลี่ยนแมนดาริน ผสานกับความสะอาดจากไม้ซีดาร์ และซ่อนความเย้ายวนด้วยถั่วตองก้าและไวท์ มัสค์
เมื่อฉีดแล้วคุณจึงดูเป็นหนุ่มสง่างาม บริสุทธิ์และกระปรี้กระเปร่า เหมาะกับการฉีดไปทำงานหรือไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง อีกหนึ่งข่าวดี คือ คนที่เหงื่อออกง่ายหรือเหงื่อเยอะก็สามารถใช้ได้ แถมใช้ได้ดีด้วยค่ะ เพราะหลายคนรีวิวไว้ว่ายิ่งเหงื่อออก กลิ่นยิ่งหอม แถมยังติดทนมากอีกด้วยนะคะ
รุ่นนี้มีโทนกลิ่นที่ชวนให้นึกถึงท้องทะเลลึกที่เต็มไปด้วยความสดชื่น หนักแน่นและลึกลับน่าค้นหา ด้วยกลิ่นหอมจากพฤกษานานาพันธุ์ 3 ระดับ เริ่มต้นด้วยใบและผลส้มแมนดาริน ตามมาด้วยกลิ่นอายทะเลจากสาหร่ายที่ผสานมากับดอกลาเวนเดอร์และดอกฝ้าย ช่วยให้กลิ่นสะอาดไม่คาวจนเกินไป
แล้วตบท้ายด้วยกลิ่นหอมจากอำพันและ Clary Sage ช่วยให้หนุ่มๆดูเป็นคนสบาย ๆ แต่แฝงไปด้วยความสุขุมนุ่มลึกและน่าค้นหายิ่งขึ้น เหมาะกับการฉีดไปทำงานหรือปาร์ตี้กลางคืน อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้ค่อนข้างจะฟุ้งกระจายน้อยจึงไม่เหมาะกับคนที่มีกลิ่นตัวแรง ส่วนในเรื่องความติดทน ถือว่าทำได้ดีทีเดียว
อีกหนึ่งรุ่นที่หนุ่ม ๆ หลงรัก โดยมีโทนกลิ่นที่สะอาด สดชื่น พร้อมซ่อนเสน่ห์ที่นุ่มลึกชวนให้น่าค้นหา ด้วย Top Note จากดอกลาเวนเดอร์และเปปเปอร์มิ้นต์, Middle Note จาก Oakmoss, เจอเรเนี่ยมและไม้ซีดาร์ที่ชวนให้นึกถึงสายน้ำ และ Base Note จากอำพันและมัสค์ ซึ่งถือเป็นกลิ่นหลักของรุ่นนี้ จึงเหมาะสำหรับการฉีดไปทำงานและวันสบาย ๆ
หลายคนที่ได้ใช้ต่างรีวิวไว้ว่ากลิ่นฟุ้งกระจายตัวได้ดี ไม่ฉุนจนเกินไปและหอมติดทนนานในระดับหนึ่ง ที่สำคัญยังมีให้เลือกหลายขนาด จะซื้อไว้ใช้เป็นน้ำหอมขวดหลักหรือใช้ในโอกาสสำคัญก็ตอบโจทย์สุด ๆ
ถ้าพูดถึงน้ำหอมผู้ชายจะขาดรุ่นนี้ไปไม่ได้ เพราะเป็นตัวที่ขายดิบขายดีตลอดกาล ขึ้นแท่นเป็นน้ำหอมระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า รุ่นนี้เป็นรุ่น “Unisex (ใช้ได้ทั้งชายและหญิง)” เด่นชัดด้วยกลิ่นดอกไม้เป็นหลัก ผสานมาด้วยความสดชื่นจากมะกรูด ดอกไวโอเลต ดอกกุหลาบ อำพันและมัสค์ พร้อมซ่อนความน่าค้นหาด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด เช่น วานิลลาและไม้จันทน์
ให้กลิ่นหอมที่ช่วยเสริมให้คุณดูเป็นคนมีความมั่นใจ รักอิสระ และผ่อนคลาย เหมาะกับการฉีดไปทำงานหรือวันสบาย ๆ หลายคนที่ใช้จริงรีวิวไว้ว่าความฟุ้งกระจายและการติดทนอยู่ในระดับกลาง ๆ แต่เมื่อเทียบกับปริมาณแล้วถือว่าคุ้มค่า คู่ควรกับการเป็นน้ำหอมที่ต้องมีติดบ้านไว้เลยค่ะ
หลายคนมักจะเลือกฉีดบริเวณข้อมือและถูขยี้กับอีกข้าง หรือถูที่หลังใบหู ซึ่งการเสียดสีที่เกิดขึ้นจะทำให้ส่วนประกอบของน้ำหอมถูกทำลายไปได้ง่าย ๆ เลยค่ะ บริเวณที่ควรฉีดน้ำหอมสำหรับผู้ชายที่เราแนะนำมี 3 จุดคือ ตรงไหล่ด้านหลังทั้ง 2 ข้าง, เอวทั้ง 2 ข้างและหลังต้นขา
ถ้าอยากให้หอมสุด ๆ ก็ฉีดทุกจุด ๆ ละ 1 ครั้ง ปรับเปลี่ยนได้ถ้ารู้สึกว่ามากเกินไปค่ะ เวลาฉีดให้ฉีดห่างจากจุดที่ต้องการฉีด 10 -15 cm ให้น้ำหอมโดนผิวในลักษณะละออง ส่วนสิ่งที่ไม่แนะนำให้ทำคือการฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้าเพราะนอกจากกลิ่นจะแรงเกินไปแล้วยังทำให้ไม่สามารถเพลิดเพลินกับการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นน้ำหอมไปตามอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วยค่ะ
โดยทั่วไปน้ำหอมจะมีอายุ 1 - 2 ปี หลังจากเปิดใช้ อาจมีความแตกต่างกันไปบ้างแล้วแต่ผลิตภัณฑ์ แต่เราสามารถรักษาอายุการใช้งานของน้ำหอมให้นานขึ้นได้โดยการเก็บน้ำหอมในที่ ๆ ไม่โดนแดด บางคนอาจจะอยากวางโชว์ขวดสวย ๆ ของน้ำหอมแต่ว่าถ้าเก็บน้ำหอมใส่กล่องเอาไว้จะช่วยรักษากลิ่นหอมของมันได้นะคะ
อาจจะพอรู้กันบ้างแล้วแต่เราขอแนะนำน้ำหอมแบรนด์ต่าง ๆ ให้หนุ่ม ๆ ทราบอีกที เพราะยิ่งทราบเรื่องราวของแบรนด์นั้น ๆ ก็ยิ่งสนุกกับการเลือกซื้อนะคะ
หลังจากเปิดตัว Chanel No.5 ในปี 1921 แบรนด์ก็ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ของตนเองผ่านกลิ่นของน้ำหอมมาโดยตลอด และหลังจากเปิดตัวน้ำหอมผู้ชาย "Pour Monsieur" ในปี 1955 ชาแนลก็นำเสนอน้ำหอมผู้ชายออกมาเรื่อย ๆ
น้ำหอมรุ่นเด่น ๆ ที่เป็นตัวจุดประกายความนิยมให้น้ำหอมผู้ชายคือ "Égoïste" กับ " Platinum Égoïste" ที่เข้าคู่ไปได้สวยกับน้ำหอมผู้หญิง และอีกรุ่นคือ "Allure" น้ำหอมผู้ชายที่มีความหมายว่า "เสน่ห์ดึงดูดที่ลึกลับ" นอกจากนี้ยังมีรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Bleu de CHANEL จากฝีมือนักปรุงน้ำหอมรุ่นที่ 4 ของชาแนล ชื่อคุณ Olivier Polge อีกด้วย
BVLGARI เป็นแบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงที่ถือกำเนิดที่เมืองโรม ประเทศอิตาลี ในปี 1884 ปัจจุบันเป็นแบรนด์ในเครือ LVMH (Louis Vuitton Moët Hennessy) กลุ่มบริษัทชั้นนำของโลกที่ไม่ได้มีแค่เครื่องประดับล้ำค่า แต่รวมถึงผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ ไปจนถึงโรงแรม และรีสอร์ต
BVLGARI ออกตัวจำหน่ายน้ำหอมผู้ชายในปี 1993 ในปัจจุบันน้ำหอมที่จำหน่ายตั้งแต่ปี 1995 อย่าง "POUR HOMME", "BLACK", "BLV POUR HOMME" ก็ยังคงความนิยมอยู่ ส่วนน้ำหอมรุ่นใหม่อย่าง BVLGARI MAN WOOD NEROLI ในซีรี BVLGARI MAN นั้นได้นักปรุงน้ำหอม Alberto Morillas จากสเปนมาช่วยสร้างสรรค์กลิ่นหอมค่ะ
น้ำหอมตัวแรกของ Christian Dior ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1947 ใช้ชื่อว่า "Miss. Dior" ซึ่งเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ยังคงความมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบันนี้
ส่วนน้ำหอมผู้ชายที่แบรนด์ได้เริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1966 คือรุ่น "Eau SAUVAGE" ซึ่งเป็นรุ่นดังของกลิ่นแบบ Citrus, Chyre ในปัจจุบันดิออร์มีนักปรุงน้ำหอมจำเพาะของแบรนด์คนแรกชื่อว่าคุณ Francois Demachy ชาวฝรั่งเศสที่จุดประกายให้น้ำหอมไลน์ SAUVAGE ที่เปิดตัวปี 2018 กลับมาได้ความนิยมเป็นอย่างมากอีกครั้ง
แบรนด์แฟชั่นของอิตาลีที่ก่อตั้งเมื่อปี 1921 แม้จะพบวิกฤตด้านการบริหารในปี 1980 แต่ในปี 1990 เป็นต้นมาได้มีการปฏิวัติรูปแบบบริษัทโดยมีคุณ Tom Ford เป็นแกนกลางปรับให้แบรนด์มีความทันสมัยเป็น Mode มากขึ้นจากที่เคยเน้นความโบราณคลาสสิก ซึ่งคุณ Tom Ford นี่เองที่เป็นคนออกแบบขวดน้ำหอม "Gucci Envy" ที่ฮิตมากตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 1997 หลังจากนั้นในปี 1999 ก็มีน้ำหอม "Rush" ที่สร้างความนิยมได้เช่นกัน
ปัจจุบันน้ำหอมผู้ชายของ Gucci นอกจากซีรี "Guilty" แล้วก็จะมี "Made to Measure" และ "Gucci by Gucci Pour Homme" ให้หนุ่ม ๆ ได้เลือกอีกด้วย
เป็นแบรนด์แฟชั่นที่ก่อตั้งในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี 1952 ปัจจุบันก็อยู่ในเครือ LVMH เช่นกัน หากจะพูดถึงน้ำหอมของ Givenchy ก็หนีไม่พ้นตัวดังอย่าง "L’Interdit" ที่เริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1957 ชื่อนี้สื่อความหมายว่า "การท้าทายในสิ่งต้องห้าม" โดยมีพรีเซนเตอร์เป็นดาราสาวผู้โด่งดังนาม Audrey Hepburn
ส่วนน้ำหอมผู้ชายได้เปิดตัวในปี 1995 ใช้ชื่อว่า Ultra Marine มีรุ่นที่เปิดตัวปี 1999 คือ ”Π" (พาย)ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน นอกจากนี้ก็มีรุ่น "Gentleman" และ "Gentleman Only" วางจำหน่ายอยู่ด้วยค่ะ
เป็นแฟชั่นแบรนด์ก่อตั้งเมื่อปี 1968โดยคุณ Calvin Klein ผู้เกิดและโตใน New York โดยเริ่มจากการทำเสื้อโค้ตของผู้หญิง แล้วหลังจากนั้นในปี 1972 ถึงได้เริ่มฝ่ายผลิตน้ำหอมขึ้นมา
โดยรุ่น Eternity นั้นได้รับความนิยมเป็นพลุแตกตั้งแต่เริ่มวางขายเมื่อปี 1988 หลังจากนั้นก็มีน้ำหอมแบบ Uni-Sex รุ่น "CK One" ที่ฮิตถล่มทลายไปถึงฝั่งยุโรป เป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าก้าวสำคัญให้น้ำหอมแบรนด์อเมริกันที่มีความเบาบางไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ให้เป็นที่จับตามองได้ ปัจจุบันนอกจากรุ่น "CK Be" ยังมี "CK Summer" ที่เป็นภาคต่อของ CK One อีกด้วย
แบรนด์ที่เจ้าของแบรนด์คุณ Jo Malone ผู้มีอาชีพเป็น Facialist ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1994 ณ เมืองเชลซี ประเทศอังกฤษ โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากการที่ น้ำมัน Nutmeg Ginger Bath Oil ที่ทำมาเพื่อเป็นของขวัญให้ลูกค้าเกิดได้รับความนิยมอย่างสูง เป็นแรงผลักดันให้สร้างแบรนด์ขึ้นมา โดยลักษณะพิเศษของน้ำหอมของ Jo Malone ก็คือกลิ่นที่เรียบง่าย ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติชั้นเลิศ และด้วยความเรียบง่ายนี้ได้เป็นแนวทางให้ผู้ใช้สามารถใส่น้ำหอมหลายกลิ่นพร้อมกันเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองได้ เรียกว่า Fragrance Combining
แม้ในปี 2006 Jo Malone ได้ถอนตัวจาก Jo Malone London แล้วก็ตามแต่แบรนด์ก็ยังเป็นที่นิยมและถูกจับตามองจากผู้คนทั่วโลกอยู่ เทียนหอมที่ใช้ในพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลี่ยมกับเคทมิดเดิลตั้นแห่งราชวงศ์อังกฤษ ก็เป็นของ Jo Malone นะคะ
แม้ว่าน้ำหอมจะไม่ใช่ไอเทมหลักที่ช่วยปรับเปลี่ยนบุคลิกหรือบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเราได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยเสริมให้คุณดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นได้ เพียงแต่ว่าต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองและกาลเทศะ นอกจากนี้อย่าลืมคำนึงถึงปริมาณและตำแหน่งที่ฉีด เพราะนอกจากเราแล้ว คนรอบข้างยังได้กลิ่นของน้ำหอมที่เราฉีดด้วย หนุ่ม ๆ จึงควรระวังเรื่องนี้ให้มากเป็นพิเศษนะคะ
นอกจากน้ำหอมแล้ว การแต่งตัวและบุคลิกของเราเองก็เป็นอีกสิ่งที่หนุ่ม ๆ อย่าลืมใส่ใจด้วยนะคะ เพราะเมื่อทั้งหมดอยู่รวมกันแล้วจะยิ่งทำให้ลุคของคุณดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยอย่าลืมว่าทั้งหมดนี้ต้องอยู่บนพื้นฐาน “การเป็นตัวเอง” เพราะคนเราจะดูมีเสน่ห์ที่สุดก็ตอนที่มั่นใจในตัวเองเท่านั้น